วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2563

AUTUMN OF HOKKAIDO… ชมฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่…ฮอกไกโด เทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นจะเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงประมาณต้นเดือนตุลาคมเป็นต้นไป ใบไม้ส่วนใหญ่จะเริ่มเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีเหลือง ส้ม หรือแดง ก่อนที่จะร่วงหล่นไปจนหมดต้น ใบของต้นไม้บางชนิด เช่น ใบอิโจ (แปะก้วย) จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ทำให้ธรรมชาติในยามนั้น งดงามด้วยสีที่สดใสตระการตา ซึ่งจะนิยมเรียกว่า ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีมากกว่าฤดูใบไม้ร่วง โดยจะเริ่มเปลี่ยนสีตั้งแต่สุดเขตทางเหนือก่อน นั่นคือ เกาะฮอกไกโด ไล่เปลี่ยนสีลงมาเรื่อยจนถึงเกาะคิวชู และใบไม้แดงจะเริ่มร่วงในช่วงเดือนต้นธันวาคม ตามปกติใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสี จากทางภาคเหนือลงสู่ภาคใต้ของญี่ปุ่น ซึ่งตรงกันข้ามกับดอกซากุระ ที่จะเริ่มบานจากท้องถิ่นทางภาคใต้ขึ้นสู่ภาคเหนือ แต่ช่วงเวลาที่ใบไม้เปลี่ยนสี และช่วงเวลาที่ดอกซากุระบาน จะคลาดเคลื่อนแตกต่างกันไปในแต่ละปี ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและอุณหภูมิในปีนั้นๆ แต่ช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนมีสีสวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น คือ ประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน เพราะด้วยเป็นฤดูที่คาบเกี่ยวระหว่างฤดูฝนตก ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ราวเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม กับฤดูหนาว เดือนพฤศจิกายน (ฤดูปลายต้นฝนหนาว) ทำให้อากาศเย็นกำลังดี แต่มีฝนตกบ้างเป็นบางเวลา อุณหภูมิที่ฮอกไกโดจะอยู่ที่ประมาณ 11.3 องศาเซลเซียส ซึ่งเหมาะที่จะไปเที่ยวตามชนบท เพื่อชมความงามตามธรรมชาติ และสัมผัสอากาศที่กำลังเย็นสบายในช่วงเวลานั้น ซึ่งที่ฮอกไกโดมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถชมความงามยามใบไท้เปลี่ยนสีได้หลายจุดด้วยกัน อุทยานแห่งชาติไดเซ็ทซึซัง เป็นอุทยานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น กินพื้นที่ถึง 4 เมือง บนเกาะออกไกโด คือ อาซาฮิกาว่า คามิกาว่า บิเอะ และฟุราโน่ ซึ่งกล่าวกันว่า ที่นี่เป็นสถานที่ที่ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่อนทุกที่ในญี่ปุ่น ทิวทัศน์ที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยสีเขียวของไม้ใบเรียว และสีเหลืองแดงของไม้ใบกว้าง สลับสีกันอย่างงดงามดั่งภาพวาด ใบไม้บนภูเขาคุโรดาเกะนั้นใช้เวลากว่า 1 เดือนในการเปลี่ยนสีเป็นสีแดง ไล่จากยอดเขาเรื่อยลงมาถึงจุดขึ้นกระเช้าตรงเชิงเขา โดยช่วงที่เหมาะแก่การมาท่องเที่ยวที่นี่ คือ ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ในเดือนกันยายน-พฤศจิกายน ของทุกปี หุบเขาเดือดจิโกะคุดานิ มีอีกความหมายว่า เมืองนรก ซึ่งเมืองหรือบริเวณแห่งนี้เกิดจากการระเบิดของภูเขาฮิโยริ จึงเห็นการพวยพุ่งของก๊าซสีเหลืองอมเทาอันเกิดจากการทับถมของแร่กำมะถันเป็นจำนวนมากจากชั้นหิน นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นต้นกำเนิดเของน้ำพุร้อนที่ไหลลงยังออนเซ็นโดยรอบกว่า 3,000 ลิตรต่อวัน ในอุณหภูมิ 45 องศสเซลเซียส โดยจะมีสะพานไม้ให้เดินชมธรรมชาติโดยรอบ และจะปิดสะพานในช่วงฤดูหนาว และหากเดินไปทางด้านเหนือสุดของหุบเขา จะพบกับทะเลสาบ Oyunuma ทะเลสาบน้ำร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ภูเขาไฟโชวะชินซัง เป็นภูเขาไฟซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณสวน Shikotsu Toya National Park ซึ่งเกิดขึ้นมาเพียง 2 ปี ภายหลังการเกิดแผ่นดินไหวและการระเบิดของภูเขาไฟอุสุในปี 1943 ภูเขาไฟโชวะชินซังและภูเขาไฟอุสุเชื่อมต่อกันโดยกระเช้าไฟฟ้า ซึ่งสามารถมองเห็นทัศนียภาพธรรมชาติอันงดงามของทะเลสาบโทยะ ภูเขาโยเท ภูเขาไฟอุสุได้จากภูเขาไฟอุสุเอง โดยการขึ้นกระเช้า Uzusan Ropeway เพื่อขึ้นไปยังยอดเขา ซึ่งกระเช้านี้สามารถจุคนได้ถึง 106 คนต่อรอบ และใช้เวลาในการขึ้นไปบนยอดเขาเพียง 6 นาที น้ำตกกิงกะและน้ำตกริวเซ เป็นน้ำตกที่อยู่ห่างกันเพียง 300 เมตร และไหลลงมาจากหน้าผาสูง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกคู่สามีกับภรรยาแห่งอุทยานแห่งชาติไดเซ็ทซึซัง โดยน้ำตกริวเซ(ด้านขวา) เป็นตัวแทนของเพศชาย เพราะสายน้ำที่ไหลแรงกว่า มีสมญานามว่า น้ำตกดาวตก และน้ำตกกิงกะ(ด้านซ้าย) เป็นตัวแทนของเพศหญิง ที่มีลักษณะเป็นริ้วเล็กๆดูอ่อนช้อยกว่า ได้รับมีสมญานามว่า น้ำตกแม่น้ำสีน้ำเงิน ศาลาว่าการเมืองฮอกไกโดหลังเก่า (ทำเนียบอิฐแดง) ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นเป็นสง่า เป็นอาคารที่ก่อสร้างจากอิฐจึงเป็นที่รู้จักดีด้วยชื่อเล่น ‘ทำเนียบอิฐแดง’ ถูกสร้างตามแบบนีโอ บาโรกของอเมริกา ในปีค.ศ.1888 เป็นเวลากว่า 80 ปีที่ศาลาว่าการเมืองหลังเก่าทำหน้าที่รับใช้บ้านเมือง ดาวสีแดงที่ผนังอาคารภายนอกสามารถกล่าวได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของฮอกไกโด คือสัญลักษณ์ตัวแทนของทูตบุกเบิก ภายในอาคารเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และมีการจัดแสดงข้อมูลสิ่งของที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของฮอกไกโด สวนโอโดริ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีเหล่าพันธุ์ไม้และแปลงดอกไม้แต่งแต้มสีสันตลอดฤดูกาลทั้งสี่ เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แตกต่างกันไปตามแต่ละเทศกาล และเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองซัปโปโร ทั้งยังเป็นโอเอซิสของย่านออฟฟิศที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยดอกไลแล็คและต้นเอล์มญี่ปุ่น 92 สายพันธุ์กว่า 4,700 ต้น สวนโอโดริเป็นที่รู้จักในฐานะสวนสาธารณะแต่ที่จริงแล้วเป็นถนน โดยในปีค.ศ.1871 มีการสร้างแนวกันไฟที่แยกใจกลางเมืองซัปโปโรออกเป็นฝั่งเหนือใต้ ซึ่งแต่เดิมมีชื่อว่าถนนชิริเบชิและถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นโอโดริ รับชมโปรแกรมทัวร์ญี่ปุ่น คลิกที่นี่ หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 02-661-9399 / LINE : @eliteholiday


AUTUMN OF HOKKAIDO…


ชมฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่…ฮอกไกโด

เทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นจะเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงประมาณต้นเดือนตุลาคมเป็นต้นไป ใบไม้ส่วนใหญ่จะเริ่มเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีเหลือง ส้ม หรือแดง ก่อนที่จะร่วงหล่นไปจนหมดต้น ใบของต้นไม้บางชนิด เช่น ใบอิโจ (แปะก้วย) จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ทำให้ธรรมชาติในยามนั้น งดงามด้วยสีที่สดใสตระการตา ซึ่งจะนิยมเรียกว่า ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีมากกว่าฤดูใบไม้ร่วง โดยจะเริ่มเปลี่ยนสีตั้งแต่สุดเขตทางเหนือก่อน นั่นคือ เกาะฮอกไกโด ไล่เปลี่ยนสีลงมาเรื่อยจนถึงเกาะคิวชู และใบไม้แดงจะเริ่มร่วงในช่วงเดือนต้นธันวาคม


ตามปกติใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสี จากทางภาคเหนือลงสู่ภาคใต้ของญี่ปุ่น ซึ่งตรงกันข้ามกับดอกซากุระ ที่จะเริ่มบานจากท้องถิ่นทางภาคใต้ขึ้นสู่ภาคเหนือ แต่ช่วงเวลาที่ใบไม้เปลี่ยนสี และช่วงเวลาที่ดอกซากุระบาน จะคลาดเคลื่อนแตกต่างกันไปในแต่ละปี ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและอุณหภูมิในปีนั้นๆ แต่ช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนมีสีสวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น คือ ประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน


เพราะด้วยเป็นฤดูที่คาบเกี่ยวระหว่างฤดูฝนตก ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ราวเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม กับฤดูหนาว เดือนพฤศจิกายน (ฤดูปลายต้นฝนหนาว) ทำให้อากาศเย็นกำลังดี แต่มีฝนตกบ้างเป็นบางเวลา อุณหภูมิที่ฮอกไกโดจะอยู่ที่ประมาณ 11.3 องศาเซลเซียส ซึ่งเหมาะที่จะไปเที่ยวตามชนบท เพื่อชมความงามตามธรรมชาติ และสัมผัสอากาศที่กำลังเย็นสบายในช่วงเวลานั้น ซึ่งที่ฮอกไกโดมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถชมความงามยามใบไท้เปลี่ยนสีได้หลายจุดด้วยกัน


อุทยานแห่งชาติไดเซ็ทซึซัง เป็นอุทยานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น กินพื้นที่ถึง 4 เมือง บนเกาะออกไกโด คือ อาซาฮิกาว่า คามิกาว่า บิเอะ และฟุราโน่ ซึ่งกล่าวกันว่า ที่นี่เป็นสถานที่ที่ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่อนทุกที่ในญี่ปุ่น ทิวทัศน์ที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยสีเขียวของไม้ใบเรียว และสีเหลืองแดงของไม้ใบกว้าง สลับสีกันอย่างงดงามดั่งภาพวาด ใบไม้บนภูเขาคุโรดาเกะนั้นใช้เวลากว่า 1 เดือนในการเปลี่ยนสีเป็นสีแดง ไล่จากยอดเขาเรื่อยลงมาถึงจุดขึ้นกระเช้าตรงเชิงเขา โดยช่วงที่เหมาะแก่การมาท่องเที่ยวที่นี่ คือ ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ในเดือนกันยายน-พฤศจิกายน ของทุกปี



หุบเขาเดือดจิโกะคุดานิ มีอีกความหมายว่า เมืองนรก ซึ่งเมืองหรือบริเวณแห่งนี้เกิดจากการระเบิดของภูเขาฮิโยริ จึงเห็นการพวยพุ่งของก๊าซสีเหลืองอมเทาอันเกิดจากการทับถมของแร่กำมะถันเป็นจำนวนมากจากชั้นหิน นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นต้นกำเนิดเของน้ำพุร้อนที่ไหลลงยังออนเซ็นโดยรอบกว่า 3,000 ลิตรต่อวัน ในอุณหภูมิ 45 องศสเซลเซียส โดยจะมีสะพานไม้ให้เดินชมธรรมชาติโดยรอบ และจะปิดสะพานในช่วงฤดูหนาว และหากเดินไปทางด้านเหนือสุดของหุบเขา จะพบกับทะเลสาบ Oyunuma ทะเลสาบน้ำร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย



ภูเขาไฟโชวะชินซัง เป็นภูเขาไฟซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณสวน Shikotsu Toya National Park ซึ่งเกิดขึ้นมาเพียง 2 ปี ภายหลังการเกิดแผ่นดินไหวและการระเบิดของภูเขาไฟอุสุในปี 1943 ภูเขาไฟโชวะชินซังและภูเขาไฟอุสุเชื่อมต่อกันโดยกระเช้าไฟฟ้า ซึ่งสามารถมองเห็นทัศนียภาพธรรมชาติอันงดงามของทะเลสาบโทยะ ภูเขาโยเท ภูเขาไฟอุสุได้จากภูเขาไฟอุสุเอง โดยการขึ้นกระเช้า Uzusan Ropeway เพื่อขึ้นไปยังยอดเขา ซึ่งกระเช้านี้สามารถจุคนได้ถึง 106 คนต่อรอบ และใช้เวลาในการขึ้นไปบนยอดเขาเพียง 6 นาที


น้ำตกกิงกะและน้ำตกริวเซ เป็นน้ำตกที่อยู่ห่างกันเพียง 300 เมตร และไหลลงมาจากหน้าผาสูง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกคู่สามีกับภรรยาแห่งอุทยานแห่งชาติไดเซ็ทซึซัง โดยน้ำตกริวเซ(ด้านขวา) เป็นตัวแทนของเพศชาย เพราะสายน้ำที่ไหลแรงกว่า มีสมญานามว่า น้ำตกดาวตก และน้ำตกกิงกะ(ด้านซ้าย) เป็นตัวแทนของเพศหญิง ที่มีลักษณะเป็นริ้วเล็กๆดูอ่อนช้อยกว่า ได้รับมีสมญานามว่า น้ำตกแม่น้ำสีน้ำเงิน




ศาลาว่าการเมืองฮอกไกโดหลังเก่า (ทำเนียบอิฐแดง) ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นเป็นสง่า เป็นอาคารที่ก่อสร้างจากอิฐจึงเป็นที่รู้จักดีด้วยชื่อเล่น ‘ทำเนียบอิฐแดง’ ถูกสร้างตามแบบนีโอ บาโรกของอเมริกา ในปีค.ศ.1888 เป็นเวลากว่า 80 ปีที่ศาลาว่าการเมืองหลังเก่าทำหน้าที่รับใช้บ้านเมือง ดาวสีแดงที่ผนังอาคารภายนอกสามารถกล่าวได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของฮอกไกโด คือสัญลักษณ์ตัวแทนของทูตบุกเบิก ภายในอาคารเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และมีการจัดแสดงข้อมูลสิ่งของที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของฮอกไกโด


สวนโอโดริ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีเหล่าพันธุ์ไม้และแปลงดอกไม้แต่งแต้มสีสันตลอดฤดูกาลทั้งสี่ เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แตกต่างกันไปตามแต่ละเทศกาล และเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองซัปโปโร ทั้งยังเป็นโอเอซิสของย่านออฟฟิศที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยดอกไลแล็คและต้นเอล์มญี่ปุ่น 92 สายพันธุ์กว่า 4,700 ต้น สวนโอโดริเป็นที่รู้จักในฐานะสวนสาธารณะแต่ที่จริงแล้วเป็นถนน โดยในปีค.ศ.1871 มีการสร้างแนวกันไฟที่แยกใจกลางเมืองซัปโปโรออกเป็นฝั่งเหนือใต้ ซึ่งแต่เดิมมีชื่อว่าถนนชิริเบชิและถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นโอโดริ




หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 02-661-9399 / LINE : @eliteholiday

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น