วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เทศกาลหิมะประจำฮอกไกโด




เทศกาลหิมะประจำฮอกไกโด
เมื่อเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูหนาวแห่งปีของประเทศญี่ปุ่น ในช่วงเดือน ธันวาคม-กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการจัดเทศกาลและกิจกรรมกันมากมายหลายแห่ง ท่านที่ชื่นชอบอากาศหนาวๆไม่ควรพลาด


งานเทศกาลหิมะซัปโปโร (Sapporo Yuki-matsuri) หรีอชื่อภาษาอังกฤษว่า Sapporo Snow Festival เป็นเทศกาลหิมะที่มีชื่อเสียงของเมืองซัปโปโร (Sapporo มาจาก ภาษาไอนุ หมายถึง แม่น้ำสำคัญไฟลผ่านที่ลุ่ม)เป็นเมืองหลวงของ เขตฮอกไกโด (Hokkaido มาจากภาษาไอนุ หมายถึง เส้นทางสู่ทะเลเหนือ)เป็นเทศกาลหิมะที่มีชื่อเสียงของเมืองซัปโปโร ซึ่งจัดขึ้นประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ของทุกๆปี บนพื้นที่จัดงาน 3 ส่วนคือ สวนสาธารณะโอโดริ ย่านการค้าซูซูกิโน และซัปโปโรคอมมูนิตี้โดม (สึโดมุ)


เทศกาลหิมะของเมืองซัปโปโรเริ่มขึ้นเมื่อราว ปี ค.ศ.1950 โดยความร่วมมือของสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวซัปโปโรและเขตซัปโปโร ในเทศกาลหิมะครั้งแรกนี้ เพราะไม่มีใครเคยสร้างรูปปั้นหิมะมาก่อนคณะกรรมการจัดงานจึงต้องขอร้องให้นักเรียนชั้นมัธยมปลายในเมืองซัปโปโรร่วมกันก่อรูปปั้นหิมะขึ้น จนได้รูปปั้นจำนวน 6 ชิ้น ในบริเวณลานในสวนสาธารณะโอโดริ ซึ่งเดิมใช้เป็นที่ทิ้งหิมะ รูปปั้นหิมะรุ่นแรกๆ นั้นมีความสูงอย่างมากเพียง 7 เมตรเท่านั้น แต่ในงานครั้งที่ 4 ในปี ค.ศ.1953 มีการสร้างรูปปั้นที่มีขนาดสูงถึง 15 เมตร ซึ่งต้องใช้หิมะจำนวนมากจึงต้องใช้รถบรรทุกและรถดันดินมาช่วยในการสร้างและนับเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างรูปปั้นหิมะขนาดใหญ่อย่างในปัจจุบัน
เทศกาลหิมะที่เมืองซัปโปโรนี้จะแบ่งพื้นที่การจัดงานออกเป็น 3 ส่วนได้แก่บริเวณ โอโดะริ (Odori) ซุซุกิโนะ (Susukino) และ บริเวณคอมมูนิตี้โดมทสีโดเมะ (the grounds at community Dome Tsudome) พื้นที่การจัดงานหลักจะอยู่ที่บริเวณโอโดะริ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของสวนโอโดะริ (Odori Park) ที่มีความยาวถึง 1.5 กิโลเมตร รูปปั้นแกะสลักจากน้ำแข็งที่มีชื่อเสียงที่ได้รับการจัดแสดงอยู่บริเวณนี้บางรูปปั้นมีความสูงมากกว่า 15 เมตร และกว้างถึง 25 เมตร และมีการประดับไฟจนถึงเวลา 22.00 น.
ที่งานเทศกาลหิมะนี้ นอกจากจะมีผลงานการแกะสลักหิมะหรือน้ำแข็งของชาวญี่ปุ่น ที่มีตั้งแต่ขนาดปานกลางจนถึงขนาดใหญ่ที่สูงเป็นสิบเมตรแล้ว ก็จะมีผลงานการแกะสลักหิมะประกวดในระดับนานาชาติอีกด้วย เมืองไทยเองก็ได้เข้าร่วมการประกวดแกะสลักหิมะด้วย และเคยได้รับรางวัลชนะเลิศมาแล้วหลายครั้งด้วยกัน ตั้งแต่ปี ต.ศ.1955 และจัดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เริ่มจัดงานระหว่างวันที่ 5-11 ก.พ. 2556


เว็บไซต์
ภาษาญี่ปุ่น : http://www.snowfes.com/index.html
ภาษาอังกฤษ : http://www.snowfes.com/english/index.html  

งาน Asahikawa Winter Festival




เทศกาลหิมะไม่ได้มีอยู่ที่ซัปโปโรเพียงแห่งเดียวเท่านั้นยังมีอีกแห่งหนึ่งที่คือเทศกาลหิมะของ เมืองอาซาฮิกาว่า (Asahikawa Winter Festival) ป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีสวนสัตว์ที่น่าไปเที่ยวอย่าง Asahiyama Zoo เทศกาลAsahikawa Winter ได้บันทึกลงในกินเนสบุ๊คว่ามีประติมากรรมที่สร้างจากหิมะที่ใหญ่ที่สุดในโลก จุดเด่นอย่างหนึ่งของเทศกาลนี้อยู่ที่ ความยิ่งใหญ่ของรูปปั้นหิมะ ความสูงมากกว่า 25 เมตร ใหญ่กว่ารูปปั้นเทศกาลหิมะที่ซัปโปโร และในช่วงเดียวกันมีเทศกาลแกะสลักน้ำแข็งประดับไฟในรูปปั้นหิมะ ไปที่เดียวก็เต็มอิ่มกับเทศกาลที่น่าสนใจถึง 3 เทศกาลด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีบันไดเลื่อนยักษ์ทำจากหิมะ และมีเวิร์คช้อปทำประติมากรรมจากหิมะด้วย อย่าพลาดเทศกาลหิมะแห่งเมืองอาซาฮิกาว่ากันนะคะ เริ่มจัดงานระหว่างวันที่ 6-11 เดือนกุมภาพันธ์ 2556


เว็บไซต์
ภาษาญี่ปุ่น :  http://www.city.asahikawa.hokkaido.jp/files/kankou/awf/

ชื่องาน:Shikaribetsuko Kotan


Kotan เป็น ภาษาไอนุ แปลว่า หมู่บ้าน เทศกาลนี้จัดขึ้นบนทะเลสาบ Shikaribetsuko โดยในงานจะมีการสร้างหมู่บ้านจำลองขึ้นมาบนทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็งรวมทั้งมี น้ำพุร้อนกลางน้ำแข็ง บาร์น้ำแข็ง โบสถ์น้ำแข็ง โรงแรมน้ำแข็ง โรงงานน้ำแข็ง ที่โรงงานทำน้ำแข็งมีกิจกรรมทำแก้วน้ำแข็งด้วยตนเอง นั่งกินเหล้าสาเกที่รินอยู่ในแก้วที่ทำขึ้นมาเองในขณะที่ดื่มด่ำกับหิมะและน้ำแข็งรอบๆ ตัวก็คงเป็นประสบการณ์อีกหนึ่งอย่างที่น่าจดจำ เริ่มจัดงานระหว่างวันที่ 26 มกราคม ถึง 31 มีนาคม 2013

เว็บไซต์
ภาษาญี่ปุ่น : http://www.gutabi.jp/spot/detail/1473

ชื่องาน:Yokote Kamakura



สัมผัสกับความอบอุ่น ท่ามกลางหิมะใน Kamakura บ้านที่จะทำขึ้นมาจากหิมะ เริ่มจัดงานระหว่างวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2013

เว็บไซต์ 

ชื่องาน:Tokamachi Snow Festival


เทศกาลนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 62 ปี มีประติมากรรมหิมะซึ่งสร้างสรรค์โดยชาวเมืองเอง มีการแสดงแสงสีเสียง เริ่มจัดงานระหว่างวันที่  17-19 กุมภาพันธ์ 2013 

เว็บไซต์

ภาษาญี่ปุ่น : http://snowfes.jp/

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

“Uni" ไข่หอยเม่น” จริงๆ แล้วมันคือ ?????

“Uni" ไข่หอยเม่นจริงๆ แล้วมันคือ ?????

สำหรับท่านที่ชื่นชอบทานซูชิหน้าไข่หอยเม่น คุณรู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ไข่ของหอยเม่นแต่อย่างใด จริงๆ แล้วมันคือ อัณฑะกับรังไข่ ของหอยเม่นนั่นเอง  

ดังนั้นจึงมีไข่หอยเม่นที่วางขายกันอยู่ 2 ชนิด ถ้ามากจากตัวผู้ก็จะเป็นอัณฑะ มีสีเหลืองอ่อน ก้อนเล็กกว่า แล้วก็มีลักษณะจับกันเป็นชิ้นมากกว่า แต่ถ้ามาจากตัวเมียก็จะเป็นรังไข่ มีสีส้มเข้มกว่า ถ้าหั่นหรือวางทับๆ กันจะแตกเป็นน้ำ ดังนั้นในร้านซูชิชั้นดีมักจะใช้ Uni ที่มาจากหอยเม่นตัวผู้มากกว่า เนื่องจากจะมีลักษณะเป็นก้อนไม่เหลวง่าย และมีรสชาติที่เข้มข้มและอร่อยกว่าหอยเม่นตัวเมีย ถ้าเป็นร้านอาหารทั่วไปมักจะใช้ทั้ง 2 แบบมาผสมกัน

Uni ที่มาจากรังไข่ของหอยเม่นตัวเมียจะสีส้มกว่า ชิ้นใหญ่กว่า แล้วก็เหลวกว่าของหอยเม่นตัวผู้


Uni ที่มาจากหอยเม่นตัวผู้จะมีสีส้มอ่อนกว่า ชิ้นเล็กกว่า แต่จะมีรสชาติที่เข้มข้น และแน่นอนราคาก็แพงกว่าหอยเม่นตัวเมียด้วย


ขอบคุณข้อมูลจาก : http://ja.wikipedia.org/wiki/%E3%82%A6%E3%83%8B

วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สถานทูตญี่ปุ่น ออกวีซ่าแบบ Multiple ให้กับนักท่องเที่ยว


           ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ทางรัฐบาลญี่ปุ่นมีนโยบายที่จะออกวีซ่าแบบ Multiple ให้กับนักท่องเที่ยว นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่จะมีการออกวีซ่าแบบ Multiple นี้ โดยจะออกให้กับบุคคลสัญชาติไทยที่พำนักอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น และมีจุดประสงค์ที่จะไปประเทศญี่ปุ่นเพื่อการท่องเที่ยว เยี่ยมญาติ และอื่นๆ โดยเป็นผู้ที่เคยได้รับวีซ่า และเคยเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นภายในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา หรือผู้ที่มีฐานะทางการเงินที่มั่นคง

1.        อันเนื่องมาจากการประชุมผู้นำระดับสูงเมื่อวันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ.2555 ที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีนายกรัฐมนตรีของประเทศญี่ปุ่นคือ Mr. Yoshihiko Noda กับนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยคือ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนั้น ได้มีการกล่าวถึงการออกวีซ่าแบบ Multiple เพื่อการพำนักระยะสั้นให้กับบุคคลผู้ถือสัญชาติไทยในการประชุมดังกล่าว ดังนั้นตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2555 เป็นต้นไป ทางรัฐบาลญี่ปุ่นมีนโยบายที่จะออกวีซ่าแบบ Multiple ให้กับบุคคลผู้ถือสัญชาติไทยที่พำนักอยู่ในประเทศ
2.        ในการออกวีซ่าแบบ Multiple นั้น ทางรัฐบาลญี่ปุ่นคาดหวังว่าจะมีจำนวนของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น และจะเป็นการอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปอย่างราบรื่น รวมทั้งเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งๆขึ้นไป
·       ข้อมูลอ้างอิง               วีซ่าประเภทการพำนักระยะสั้นแบบ Multiple สำหรับบุคคลผู้ถือสัญชาติไทย
·       คุณสมบัติของผู้ยื่น     บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางทั่วไป และมีคุณสมบัติตามที่ทางสถานทูตฯ กำหนดไว้
·       ระยะเวลาการพำนัก    สูงสุดไม่เกิน 90 วัน
·       อายุการใช้งาน            ไม่เกิน 3 ปี
อ้างอิงข้อมูลจาก  http://www.th.emb-japan.go.jp/th/consular/visaindex.htm

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ก่อนจะย่างก้าวสู่...เกาะไต้หวัน

                การคิดจะแพคกระเป๋า และเดินทางออกนอกประเทศซักครั้ง การเรียนรู้พื้นฐานต่างๆของประเทศนั้นๆ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้เลย สำหรับนักเดินทางมือใหม่ และมือเก่า ที่อาจจะต้องอัพเดทข้อมูลใหม่ๆ อยู่เสมอ...
                ไต้หวัน เกาะเล็กๆ กลางมหาสมุทรแปซิฟ็ ประเทศที่รวมความศิวิไลซ์ของญี่ปุ่น และวัฒนธรรมอันยาวนานของจีนเอาไว้ด้วยกัน ส่วนใหญ่ เราจะได้ยินชื่อของ ไต้หวัน ในด้านของอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ “made in Taiwan” ซึ่งเชื่อว่า มีคุณภาพที่ดีกว่าผลิตจากจีนแผ่นดินใหญ่ และยังมีผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊ก แผ่นซีดี ยี่ห้อชั้นนำจากไต้หวัน นอกจากนี้ยังมีแฟชั่นเสื้อผ้าสตรีราคาถูก นำเข้าจากไต้หวันที่สาวๆ ชื่นชม ในรูปแบบการดีไซน์ รวมทั้ง ดาราไต้หวันหน้าตาดี ทั้ง F4 อู๋จุน แต่คนไทยจะรู้มั้ยว่า จริงๆแล้ว ไต้หวันมี วัฒนธรรม และภูมิประเทศที่เป็นธรรมชาติต่างๆที่สวยงามมากๆ ปัจจุบัน คนที่ทราบเกี่ยวกับข้อมูลการท่องเที่ยวเหล่านี้ มักจะเป็น คนจีนแผ่นดินใหญ่ คนญี่ปุ่น และชาวแคนาดา สำหรับคนไทยแล้ว การท่องเที่ยวไต้หวัน ยังถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยอยู่ สังเกตุได้ไม่ยาก นั่นคือ ลองมองไปตามแผงหนังสือต่างๆ แล้วหาหนังสือท่องเที่ยวไต้หวัน ซักเล่ม ดูเหมือนจะเป็นงานยากเอาการ ทีเดียว ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็จะเจอแต่ เที่ยวเกาหลี ฮ่องกง มาเก๊า หรือประเทศในยุโรป ส่วนแชมป์ชนะเลิศ ก็ต้องยกให้ ญี่ปุ่น เค้าหล่ะ
                 การเดินทางไปท่องเที่ยวยังประเทศไต้หวัน นั้นอาจจะมีอุปสรรคเล็กๆน้อยๆ 2 ประการ นั่นคือ
                 ภาษา ทุกวันนี้คนไต้หวัน ใช้ภาษาจีนกลางในการสื่อสาร และใช้อักษรจีนตัวเต็ม ในการเขียนหนังสือ ต่างๆ แต่ว่าอุปสรรคข้อนี้จะหมดไปทันที ถ้าเรามีความกล้า พอที่จะเดินดุ่ยๆ เข้าไปสอบถาม เส้นทางกับเจ้าถิ่น พร้อมกับออกร่ายวิทยายุทธ์ด้วยภาษา ที่ใช้กันทั่วโลก นั่นคือ ภาษามือ พร้อมรอยยิ้มอันสดใส เท่านั้นเอง คนไต้หวันส่วนใหญ่ พร้อมใจที่จะช่วยเหลือนักท่องเที่ยวต่างๆถิ่นอยู่แล้ว และอัตราการใช้ภาษาอังกฤษของชาวไต้หวัน ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีทีเดียว (ถ้าไม่ใช่คุณลุง คุณป้ายุคโบราณนะ)
                  วีซ่า ก่อนที่เราจะออกไปซ่าที่ไต้หวัน การเดินทางเข้าประเทศนี้ จำเป็นต้องขอวีซ่าจากทางสถานฑูตไต้หวัน ณ ชั้น 20 อาคารเอ็มไพร์ทาวเวอร์ ถ.สาธรใต้ เปิดให้ยื่นได้ตั้งแต่ 9.00-12.00 และเปิดรับวีซ่า ช่วง 13.00-15.00 น. ในส่วนของเอกสารที่ต้องเตรียม ก็จะเป็น เอกสารที่คล้ายๆ การขอวีซ่าญี่ปุ่น นั่นคือ รูปถ่าย 2 นิ้ว, สำเนาทะเบียนบ้าน, ใบรับรองการทำงาน, สำเนาสมุดบัญชี, ตั๋วเครื่องบิน และที่ขาดไม่ได้เลยคือ พาสปอร์ต เมื่อเตรียมเอกสาร และเตรียมใจเรียบร้อย ก็จัดการยื่นวีซ่าได้เลย ค่าธรรมเนียมในการยื่นวีซ่า ไม่ถูกและไม่แพงเท่าไหร่คือ 1,500.- บาท
                  หากสามารถผ่านอุปสรรค 2 ข้อนี้ไปได้ อะไรๆ ในไต้หวันก็สบายไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง
                  อาหารการกิน เนื่องจาก อาหารของไต้หวัน จะเป็นอาหารที่ออกแนวอาหารจีน แต่ว่ารสชาติจัดจ้านกว่า เพราะฉะนั้น คนไทยสามารถทานได้อย่างสบายๆ นอกจากเรื่องของรสชาติแล้ว การซื้อหา ของกิน ของทานเล่นในไต้หวัน ก็มีให้เลือกหลากหลาย และละลานตาไปหมด ไม่ว่าจะเป็น ร้านหรู ร้านข้างทาน รถเข็นขายอาหาร ตลอดจนร้านอาหารแปลกๆ ที่อาศัยการตกแต่ง ร้านให้ดูแปลกตา และเชื้อเชิญเหล่านักท่องเที่ยว ให้ได้ชิมบรรยากาศของร้าน พร้อมทั้งลิ้มลอง อาหารเลิศรส จากพ่อครัวสุดเก่งของทางร้าน เช่น ภัตตาคารร้อยล้าน, Modern Toilet, ภัตตาคารนินจา, ภัตตาคารแบบโรงพยาบาล หรือจะเป็น ร้านของหวานน่ารักๆ อย่าง KITTY CAFÉ ก็มีให้เลือกสรร ส่วนอาหารที่เมื่อไปไต้หวัน แล้วไม่ควร พลาดนั้นคือ เต้าหู้เหม็น ที่ท้าทายให้ลองบีบจมูกทานดูซักครั้ง เราสามารถหาซื้อเต้าหู้เหม็นได้ตั้งแต่ ในภัตตาคาร ตลอดจนร้านขายของข้างทาง ตามไนท์มาร์เก็ตต่างๆ แต่ถ้าอยากได้รสชาติ พร้อมบรรยากาศสไตล์ไต้หวัน แบบแท้ๆ ขอแนะนำว่า ให้เลือกลิ้มลองเต้าหู้เหม็นที่วางขายอยู่ตามไนท์มาร์เก็ต น่าจะเวิร์คกว่า...
                  เส้นทางการเดินทาง การท่องเที่ยวในประเทศไต้หวัน นั้นง่าย แสนง่าย เนื่องจาก การคมนาคมสามารถเชื่อมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆทั่วทั้งเกาะไต้หวัน เอาไว้ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น รถไฟฟ้าใต้ดิน ที่วิ่งทั่วเมืองไทเป ที่เรียกว่า MRT หรือจะเป็น รถไฟราง TRA ที่มีเส้นทางวิ่งรอบเกาะไต้หวัน หรือจะเลือกเป็น HSR รถไฟหัวจรวด รถไฟหัวกระสุน หรือรถไฟฟ้าความเร็วสูง ระบบคมนาคมใหม่กิ๊กของไต้หวัน ความเร็วระดับที่ชินคังเซนในญี่ปุ่นต้องยกให้เป็นน้อง ที่วิ่งไปตามเมืองสำคัญๆต่างๆ เพื่อย่นระยะเวลาการเดินทาง ให้แก่ผู้เดินทาง หรือจะเลือกเดินทางแบบ ชิลล์ด้วย รถประจำทาง ที่สะดวก สะอาด และ รวดเร็ว ที่สำคัญ ติดแอร์ และปิดประตูทุกครั้งที่วิ่ง (ไม่เหมือนบ้านเรานะ) นอกจากนี้ยังมี การคมนาคม ที่มีอยู่ทั่วโลก นั่นคือ TAXI ส่วนใหญ่จะวิ่งตามเมืองใหญ่ๆ และคนขับมักพูดได้แต่ภาษาจีน ค่าโดยสารก็จะคิดตามระยะทางเหมือนๆ บ้านเรา เพียงแต่ค่าโดยสารแพงกว่า ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ประมาณ 70 NT
                   อัตราค่าเงิน การคิดค่าเงินในไต้หวันนั้น รู้สึกว่ามันเป็นมิตรต่อคนหัวอ่อนคณิตเอามากๆ เพราะว่าเมื่อเทียบกับเงินบาทไทยแล้ว ต่างกันไม่ถึง 0.1 ทำให้การเลือกซื้อ หรือ จับจ่ายซื้อของได้อย่างสะดวกสบาย แทบจะไม่ต้องคำนวณให้เมื่อยสมองเลย
                    สภาพอากาศ เมื่อพูดถึงการท่องเที่ยวต่างประเทศแล้ว สิ่งแรกๆที่คนเรามักนึกถึงคือ อากาศ เพราะว่าเราจะได้ทราบถึงวิธีการจัดกระเป๋า หรือจัดเตรียมสิ่งของในการท่องเที่ยวได้ถูกต้อง แล้วจะได้ทราบถึงโดยทั่วไปแล้วไต้หวัน มีอากาศเป็นแบบร้อนชื้น อุณหภูมิโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 22 องศาเซลเซียส ตามปกติแล้ว ชาวไต้หวันจะใช้เทศกาลเป็นสิ่งบ่งชี้ว่า ฤดูกาลใหม่กำลังจะมาเยือน เช่น ภายหลังจากช่วงเทศกาลตรุษจีน ก็เข้าใกล้ฤดูใบไม้ผลิ แล้วอีกไม่นานก็จะเห็นดอกไม้บานสะพรั่งสวยงาม ทั่วทั้งเกาะไต้หวัน ช่วงฤดูใบไม้ผลิ จะอยู่ในระหว่างเดือน กุมภาพันธ์-เมษายน อุณหภูมิ ประมาณ 15-25 องศา ฤดูร้อน จะอยู่ในช่วง พฤษภาคม – สิงหาคม อุณหภูมิ 22-34 องศา พอหลังจากเทศกาลบ๊ะจ่างผ่านพ้นไป ฤดูร้อนของไต้หวัน ก็กำลังย่างก้าวเข้ามาทักทายเกาะเล็กๆ กลางมหาสมุทรแห่งนี้ ฤดูใบไม้ร่วง เป็นฤดูกาลที่น่าท่องเที่ยวมากที่สุด  เพราะอากาศกำลังเย็นสบาย อยู่ในช่วง กันยายน- พฤศจิกายน อุณหภูมิ 19-25 องศา ลมเย็นๆ กำลังสบายๆ สำหรับชาวไทยอย่างเราๆ จากนั้นก็จะเข้าสู่ฤดูหนาว แต่อย่าคิดจะไปเล่นหิมะที่ไต้หวันนะคะ เพราะว่า ไต้หวันไม่มีหิมะ มีแต่อากาศหนาวๆ ที่ต้องเตรียมเสื้อผ้าหนาๆ ไปกันลมเท่านั้นเอง อุณหภูมิจะอยู่ในช่วง 15-20 องศา ประมาณเดือนธันวาคม – มกราคม
                    เห็นป๊ะ!! การท่องเที่ยวในไต้หวัน เป็นอะไรที่ง่ายๆ สบายๆ สำหรับชาวไทยอย่างเราๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินที่คล้ายคลึงกัน สภาพอากาศ ที่เราสามารถใช้เสื้อผ้าจากไทยได้เลย ไม่ต้องเสียเงิน เสียเวลาไปหาซื้อใหม่ รวมทั้งอาหารที่ หากินได้ง่าย และรสชาติก็อร่อยใช้ได้ (แพ้อาหารไทยไปนิดเดียวเอง) ไม่มีอะไรต้องกังวล เมื่อเดินทางไปไต้หวัน ขอแค่วีซ่าผ่านเท่านั้นก็พอ...
ครั้งหน้าเราจะมาติดตามสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตติดกระแสของ ไทเปกัน!!
ก่อนที่จะค่อยๆย่างกายออกไปยังภูมิภาคอื่นๆต่อๆไป
อย่าลืมว่า ไต้หวัน มีอะไรให้น่าเที่ยว มากกว่าเป็นเมืองที่ผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์...
ทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม และสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ น้ำใจ และมิตรไมตรีจากชาวไต้หวัน
ที่ค่อยโอบอุ้มการท่องเที่ยวไต้หวัน ให้ดูดีมีเสน่ห์ น่าหลงใหลตลอดไป

วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

ภาพบรรยากาศพลุสวยๆ จากวันฉลองเทศกาลปีใหม่ทั่วโลก

ผ่านไปแล้วกับเทศกาลฉลองข้ามสู่ปีใหม่ พ.ศ. 2555 หรือ ค.ศ. 2012 นะคะ สำหรับวันนี้เราก็มีเก็บตกภาพบรรยากาศพลุสวยๆ จากวันฉลองเทศกาลปีใหม่ทั่วโลกมาฝากกันค่ะ